tag:blogger.com,1999:blog-50481907648172249732024-03-13T11:31:08.972-07:00ดอกไม้กินได้Unknownnoreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-55539307054741376062008-10-01T21:19:00.001-07:002009-07-09T20:56:58.925-07:00ดอกไม้กินได้ดอกไม้กินได้แต่ไม่ทุกชนิด สังเกตได้จาก ถ้าสัตว์กินได้ คนก็มักจะกินได้ หรือดอกไม้ที่มีประโยชน์ทางสมุนไพรก็มักจะกินได้เช่นกันต้นไม้ที่มียางส่วนใหญ่จะมีพิษ แต่ก็มีชื่อยกเว้นในบางชนิด เช่น ดอกลีลาดีขาว<br /><br />การกินดอกไม้เป็นอาหาร เป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยที่มีมานานแล้ว เป็นพืชที่ขึ้นในท้องถิ่นเก็บได้ตามฤดูกาลและที่สำคัญ คือ มีประโยชน์เป็นสมุนไพร ช่วยให้สุขภาพดี แก้โรคบางชนิดได้ด้วย ซึ่งมีวิธีการทำได้ เช่น แกงส้ม แกงกะทิ กินเป็นผักสด ลวก ต้ม ดองหรือทอด<br /><br />ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มีการกินดอกไม้กันอย่างแพร่หลาย เชื่อว่า การกินดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง โดยเฉพาะรูปร่างได้สัดส่วน และอรรธรสในการบริโภคจากสีสันและ กลิ่นหอมจากกลีบดอก เช่น คาร์เนชั่น ทิวเบอร์สโกเนีย พีทูเนีย ฟุกเซีย ลิ้นมังกร ค่าเล่นกูล่า ฯลฯ วิธีนำมาประกอบอาหาร เช่น ทำเป็นสลัดดอกไม้ ใส่ในซอสน้ำซุปและอาหารหวานนานาชนิดUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-35455900789998614772008-10-01T21:12:00.000-07:002009-07-09T21:03:24.476-07:00ดอกผกากรอง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifVxMXdnAy97TEfcomt1KzRAJxFonpBt_vMcq335y-Rc5VEXMHBk-GDI_Zt4soOJ3qoR7MKujVLp1y8CC68HmOTdOrBodY1S1iKTTIVrQ3-6x7VPq0XOrWJBNkH0uuJEZtczvVLXbkuEc/s1600-h/pakakrong1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252405017179456194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifVxMXdnAy97TEfcomt1KzRAJxFonpBt_vMcq335y-Rc5VEXMHBk-GDI_Zt4soOJ3qoR7MKujVLp1y8CC68HmOTdOrBodY1S1iKTTIVrQ3-6x7VPq0XOrWJBNkH0uuJEZtczvVLXbkuEc/s320/pakakrong1.JPG" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">ดอกผกากรอง</span></strong> ผกากรองมีชื่อวิทาศาสตร์ว่า Lantana camara Linn. อยู่ในวงศ์ verbenaceae โดยผกากรองจัดเป็นไม้พุ่มลำต้นสี่เหลียม ใบเดี่ยวมีขน ออกดอกเป็นช่อ มีดอกย่อมจำนวนมาก กลีบดอกมีหลายสี เช่น ขาว เหลือง ชมพู ส้ม แดง หรือมีสองสีในดอกเดียวกัน ผลรูปร่างกลม มีขนาดเล็ก เมื่อสุกมีสีดำ<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252404952803168466" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKIxPX1TCXWSruv-YeTJxIYpywa6Qciktux3HRviwAz5JTiJCyvKkgtTdOn6dGbn7uKyefflNLRTJBmORth3O-WQ41I3yZXChYmNvnT1R1ABtV2HG-vgmrFqSMBzjfVv7T_F2MVbFvtOE/s320/pakakrong2.JPG" border="0" /><br /><strong><span style="color:#cc0000;">สรรพคุณ</span></strong> ส่วนที่นำมาใช้ทำยา คือ ใบ ดอก ราก โดยเก็บได้ตลอดปี จะใช้สดหรือตากแห้งก็ได้<br /><span style="color:#009900;">"ใบ"</span> มีรสขม เย็น ใช้แก้บวม ขับลม แก้แผลผดผื่นคันที่เกิดจากความชื้นหรือหิด ซึ่งเตรียมยาดังนี้นำใบสด10-15 กรัม มาตำและพอกบริเวณที่เป็น หรือ นำใบสดมาต้มแล้วนำน้ำที่ได้มาชะล้างบริเวณที่เป็น<br /><span style="color:#009900;">"ดอก"</span> มีรสจืดชุ่ม แต่ให้ความรู้สึกเย็น ใช้แก้อักเสบ ห้ามเลือด แก้วัณโรค อาเจียนเป็นเลือด แก้ปวดท้องอาเจียน แก้ผื่นคันที่เกิดจากความชื่นและรอยฟกช้ำที่เกิดจากการกระทบกระแทก โดยเตรียมยาดังนี้ ถ้าเป็นยารับประทานเพื่อรักษาอาการอาเจียนเป็นเลือด แก้วัณโรค แก้ปวดท้องอาเจียน ให้ใช้ดอกสด 10-15 ช่อ หรือ ดอกแห้ง 6-10 กรัม ต้มน้ำดื่ม จนกว่าอาการจะดีขึ้น ถ้าใช้รักษารอยฟกช้ำหรือผดผื่น ให้นำดอกสดมาตำและพอกบริเวณที่เป็น<br /><span style="color:#009900;">"ราก"</span> ใช้แก้หวัด ปวดศีรษะ ไข้สูง ปวดฟัน คางทูม รอยฟกช้ำที่เกิดจากการกระแทก โดยถ้าใช้รักษาอาการไข้ คางทูม ให้ใช้ราก 30-60กรัม ต้มน้ำดื่ม และถ้าใช้รักษาอาการปวดฟัน ใช้รากสด 30 กรัมกับเกลือจืด 30 กรัม ต้มน้ำบ้วนปาก การใช้ผกากรองรักษาโรคก็มีข้อควรระวัง คือ หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทาน ส่วนที่ห้ามรับประทาน สำหรับทุกคนเพราะจะเกิดอันตรายจากพิษ คือ ผลแก่แต่ยังไม่สุกเนื่องจากสารกลุ่ม triterpenoid ได้แก่ lantadene A และ lantadene B ซึ่งรับประทานเมล็ดเข้าไปจะมีอาการเพลีย มึนงง ตัวเขียว ท้องเดิน หมดสติและเสียชีวิตในที่สุด </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-25014159696384737182008-10-01T21:10:00.000-07:002009-07-09T21:04:17.963-07:00ดอกบานไม่รู้โรย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfXmSMNfgc_lXNMXm-84oWSpCOcFuB-KR9JHtipCVnjN346qjGKLFBTeS1FX4_SL86wWgNo6g4mp8WSWA5Kx6fXposOFUL_W84N0-W4nii6pMiNwfFLiyMKGN0qHEf8gDIbGYpERmqwZE/s1600-h/banmairuroy1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252404402749927890" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfXmSMNfgc_lXNMXm-84oWSpCOcFuB-KR9JHtipCVnjN346qjGKLFBTeS1FX4_SL86wWgNo6g4mp8WSWA5Kx6fXposOFUL_W84N0-W4nii6pMiNwfFLiyMKGN0qHEf8gDIbGYpERmqwZE/s320/banmairuroy1.JPG" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;"></span></strong></div><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">ดอกบานไม่รู้โรย</span></strong> บานไม่รู้โรยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gomphrena globosa Linn. อยู่ในวงศ์ Amaranthaceae มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่าง ๆ ดังนี้ ดอกสามเดือน กะล่อม ตะล่อม บานไม่รู้โรยจัดเป็นพืชล้มลุกลำต้นตรง หรือ บริเวณโคนต้นอาจราบไปกับดินและมีรากตามข้อ ลำต้นจะมีสีแดง ถ้าเป็นกิ่งอ่อนจะมีขน ใบจะออกตรงข้ามกันเป็นคู่ รูปร่างใบจะยาวปลายมน มีขนปกคลุมใบทั้งสองข้าง ดอกออกเป็นกระจุกมนๆ ประกอบด้วยดอกเล็กๆมากมายอยู่บนก้านช่อดอก ดอกมี 3 สี คือ สีขาว สีม่วงเข้มและสีชมพู<br /><br /><span style="color:#cc0000;"><strong>สรรพคุณ</strong></span> ในตำราแผนโบราณกล่าวไว้ว่า ส่วนต่างๆของบานไม่รู้โรยมีสรรพคุณดั่งนี้<br /><span style="color:#009900;">"ดอก"</span> บำรุงตับ แก้ตาอักเสบ ขับปัสสาวะ แก้ปวดหัว แก้บิด แก้ไอกรน แก้ไอหอบหืด แก้แผลผื่นคัน ขับพยาธิ<br /><span style="color:#009900;">"ต้น"</span> ขับปัสสาวะ ขับหนองใน ขับระดูขาว แก้กามโรค<br /><span style="color:#009900;">"ราก"</span> ขับปัสสาวะ แก้พิษต่างๆ<br /><span style="color:#009900;">"ใบ"</span> ขับพยาธิ<br /><span style="color:#009900;">" ทั้งต้น"</span> แก้กษัย<br />เมื่อได้ศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่ามีฤทธิ์ขับเสหะ ฆ่าแมลง ซึ่งจะสอดคล้องกับในสมัยโบราณนำไปใช้รักษาอาการไอหรือลดอาการหอบหืด </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-78453554600960936532008-10-01T21:07:00.000-07:002009-07-09T21:04:30.878-07:00ดอกดาวเรือง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2v0g5CZg6M8zERjlrKilKFHymWoerBLMEFBLAGAraPkBu7lcxsqs0aE7fOqm4tczDMhRurMsJqSHwawFXgT93FqonkYv85MdNSSPM3JJI0yE7NexYHfwg4NR7DMHarEG69mTU41_-GS8/s1600-h/daoreang1.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252403558590035410" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2v0g5CZg6M8zERjlrKilKFHymWoerBLMEFBLAGAraPkBu7lcxsqs0aE7fOqm4tczDMhRurMsJqSHwawFXgT93FqonkYv85MdNSSPM3JJI0yE7NexYHfwg4NR7DMHarEG69mTU41_-GS8/s320/daoreang1.JPG" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;"></span></strong></div><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">ดาวเรือง</span></strong> ดาวเรืองมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tageteserecta Linn มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆดังนี้ "คำปูจู้หลวง" " ดาวเรืองใหญ่" " พอทู" ดาวเรืองสูงประมาณ 15-60 เซนติเมตร ใบประกอบแบบขนนกเรียงตรงข้าม ใบย่อรูปวงรี ขอบใบหยัก ฟันเลื่อย ดอกออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมี 2 ลักษณะ คือ "ดอกไม่สมบูรณ์เพศ" อยู่รอบนอกจำนวนมาก มีสีเหลืองหรือเหลืองส้ม ลักษณะคล้ายลิ้นบานแผ่ปลายม้วนลงออกช้อนกันหลายชัน "ดอกสมบูรณ์เพศ" มีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆจำนวนมากรวมกลุ่มอยู่บริเวณกลางช่อดอก ผลเป็นผลแห้งไม่แตก<br /><br /><strong><span style="color:#cc0000;">สรรพคุณ</span></strong> ส่านที่นำมาใช้เป็นยา คือ ใบ ต้น ช่อดอก โดยเก็บตอนฤดูร้อนหรือหนาวตากแห้งเก็บไว้ใช้หรือใช้สดก็ได้ สำหรับ"ช่อดอก"นั้นมีรสขมฉุนเล็กน้อย ช่วยบำรุงตับ ขับลม ละลายเสมหะ แก้เวียนศีรษะ แก้หลอดลมอักเสบ แก้ปวดฟัน รักษาแผลทำให้หายเร็วขึ้น ถ้าใช้เป็นยาทาภายใน คือ รับประทานเข้าไปให้เตรียมยาดังนี้ใช่ช่อดอก แห้ง3-10 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มจนกว่าอาการจะดีขึ้น ถ้าเป็นการรักษาบาดแผล <ใช้ภายใน> ให้ใช้ช่อดอกต้มชะล้างแผลจะดีขึ้นเอง นำมาประกอบอาหารโดยดอกตูมลวกจิ้มน้ำพริก กินแกล้มลาบ กะปิคั่ว สำหรับ"ใบ"นั้นมีรสชุ่มเย็น มีกลิ่นฉุน สรรพคุณแก้ฝีฝักบัว แก้ฝีพุพองมีตุ่มหนอง แก้เด็กเป็นตาลขโมย โดยเตรียมยาดังนี้ ใช้ใบแห้งต้มเอาน้ำดื่มหรือตำใบแล้วนำไปพอกบริเวณที่เป็นแผล สำหรับ"ต้นนั้น"มีสรรพคุณขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง การเตรียมคืดนำไปต้มน้ำเอามาดื่ม </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-89671134022063017962008-10-01T21:06:00.001-07:002009-07-09T21:05:05.510-07:00ดอกอัญชัน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSFcL8jugofwZnHCe2dJY6NDrrEEmlHEHQHIe-aZNUJIkuiY-KveSw_KVrXOwnsgguvq8bjfbeKgfsF786ACtp4kqSRas4Cciur_ZnanpnxzpCsygK8RUDQuqNlNJUaO1DaPD2a9-L-gU/s1600-h/aunchan1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252403203116428770" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSFcL8jugofwZnHCe2dJY6NDrrEEmlHEHQHIe-aZNUJIkuiY-KveSw_KVrXOwnsgguvq8bjfbeKgfsF786ACtp4kqSRas4Cciur_ZnanpnxzpCsygK8RUDQuqNlNJUaO1DaPD2a9-L-gU/s320/aunchan1.jpg" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;"></span></strong></div><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">ดอกอัญชัน</span></strong> ปัจจุบันน้ำสมุนไพรได้รับความนิยมกันมาก มีบางหน่อยงานใช้ตอนรับแขกแทนเครื่องดื่มประเภทน้ำชา กาแฟ เช่น น้ำใบเตย น้ำมะขาม น้ำมะตูม และเครื่องดื่มอื่นๆอีกมากมาย "น้ำดอกอัญชัน" ถือเป็นน้ำดื่ม สมุนไพรที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นกันเพราะนอกจากจะมีสีสันสดใสแล้ว น้ำอัญชันยังมีสรรพคุณเป็น ยาที่น่าสนใจอีกด้วย<br /><br /><strong><span style="color:#cc0000;">สรรพคุณ</span></strong> ทางตำรายาแผนโบราณกล่าวไว้ว่าอัญชันมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร โดยรากของดอกสีขาวซึ่งมีรสขม ใช้เป็นยาระบายหรือยาขับปัสสาวะ รากและใบใช้แก้ตาฟาง ตาแฉะ ส่วนดอกสีม่วงรักษาอาการผมร่วง หรือใช้ย้อมผมหงอกให้เป็นสีดำ สำหรับเมล็ดนั้นใช้เป็นยาระบาย ส่วนสารที่ให้สีนี้เป็นสารพวกแอนโทไซยานิน ปัจจุบันนี้ได้มีการวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัญชัน พบว่ามีฤทธิ์แก้ปวดเป็นยาเฉพาะที่ ลดไข้ เสริมฤทธิ์ยา นอนหลับ ลดปฏิกิริยาตอบสนองต่ออันตราย ต้านการฝังตัวของตัวอ่อนที่ผนังมดลูก ทำให้แมลงกินอาหารไม่ได้ ฆ่าพยาธิไส้เดือน ยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-39494803299752688852008-10-01T21:03:00.000-07:002009-07-09T21:05:26.118-07:00ดอกบานบุรี<span style="color:#cc0000;"></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8jMFBqTwQ8MubrvHUlZmheTta6TlMlGyMm8Wyg7eckMPTRQFV9oF65WeextnHI8gGN910oPfCnWTCXMmHzOB9pKr-CVcRozou9SX4MTNwceLxEkB8xs_n5DzBOfaTGmXM8hOEmKmoaUo/s1600-h/banburee1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252402546384532658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8jMFBqTwQ8MubrvHUlZmheTta6TlMlGyMm8Wyg7eckMPTRQFV9oF65WeextnHI8gGN910oPfCnWTCXMmHzOB9pKr-CVcRozou9SX4MTNwceLxEkB8xs_n5DzBOfaTGmXM8hOEmKmoaUo/s320/banburee1.jpg" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">ดอกบานบุรี</span></strong> บานบุรีมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allamnda cathartica Linn. อยู่ในวงศ์ Apocynaceae บานบุรีเหลืองจัดเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยใบเป็นใบเดี่ยวติดเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวติดเป็นคู่ตรงข้ามกันหรือติดรอบๆข้อ ใบเป็นรูปไข่กลับ ปลายใบแหลมโคนใบเป็นมุมยื่นลงไปที่ก้านใบ ขอบใบเรียบ ด้านบนเป็นมัน ดอกออกที่ยอดกลีบดอกเป็นรูปกรอย มี 5 กลีบสีเหลือง ส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นท่อ มีกลีบรองดอกห้ากลีบเป็นรูปหอก </div><div></div><div></div><div></div><div><strong><span style="color:#cc0000;"><br />สรรพคุณ </span></strong>โดยใช้เป็นยาระบายแก้จุกเสียดแน่นท้อง แต่ถ้ารับประทานมากไปก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นท่านผู้อ่านที่จะใช้ดอกบานบุรีจึงใช้ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งก็เหมือนยาแผนปัจจุบันที่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ในปัจจุบันได้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของบานบุรีพบว่ามีฤทธิ์เป็นยาระบายทำให้กล้าเนื้อของลำไส้หดเกร็ง ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเซลล์ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย ต้านเนื้องอก ซึ่งสอดคล้องกับตำรายาแผนโบราณ </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-90644163420485931532008-10-01T21:01:00.000-07:002009-07-09T21:05:46.923-07:00ดอกชะบา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEQRYhs4eK1MxDj2SKNi9yAvnQnoLRpo8nkDVmt9Cl8j_ozGPD5WtIGQgpbG75ftG7uRzKYpiMiUGmnY10DDAzW0g3rkg49FzziAppjlFuNYZsd9KfmZKTIzOnmdxiwSxV8tYx-l0pOBk/s1600-h/chaba1.jpeg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252402245059449122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEQRYhs4eK1MxDj2SKNi9yAvnQnoLRpo8nkDVmt9Cl8j_ozGPD5WtIGQgpbG75ftG7uRzKYpiMiUGmnY10DDAzW0g3rkg49FzziAppjlFuNYZsd9KfmZKTIzOnmdxiwSxV8tYx-l0pOBk/s320/chaba1.jpeg" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;"></span></strong></div><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">ดอกชบา</span></strong> ดอกชบามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hibiscus rosa-sinensis Linn. อยู่ในวงศ์ Malvaceae มีชื่อตามท้องถิ่นต่างๆดังนี้ ชบาขาว ชบา<span style="color:#000000;">ดอกแดง</span> ชุมบา บาใหม่ ใหม่แดง ชบาจัดเป็นไม่พุ่มขนาดย่อม ใบดกรูปไข่ ปลายใบแหลม สีเขียว ขอบใบเป็นหยักเล็กๆ ดอกเป็นดอกเดี่ยวเด่นสะดุดตา ก้านเกสรตัวเมียยาว ตรงปลายมีก้านเกสรตัวผู้เกาะอยู่ กลีบดอกมีหลายสี เช่น สีแดงเข้ม ส้ม ชมพู </div><br /><div></div><br /><div><strong><span style="color:#cc0000;">สรรพคุณ</span></strong> ในตำรายาแผนโบราณได้ระบุส่วนที่นำมาใช้เป็นยาและสรรพคุณดังนี้ </div><br /><div><span style="color:#009900;">"ราก"</span> แก้ฝี แก้ฟกช้ำบวม ขับน้ำย่อย ทำให้อาหารมีรสชาติ ลดไข้ เป็นยาระบาย </div><br /><div><span style="color:#009900;">"ใบ"</span> น้ำคั้นจากใบมีรสหวาน มีฤทธิ์ฝาดสมาน ให้ความรู้สึกเย็น บรรเทาอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง ในประเทศจีนใช้น้ำคั้นทาช่วยให้รองเท้าดำและใช้ทำมาสคาราทาขนตา </div><br /><div><span style="color:#009900;">"ดอก"</span> ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ลดไข้ บำรุงน้ำนมมาก บำรุงเส้นผม ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ขับเสมหะ </div><br /><div><span style="color:#009900;">"ดอกและใบ"</span> ใช้บรรเทาอาการปวดท้องเวลามีประจำเดือน รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ รักษากามโรค </div><br /><div></div><br /><div>ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้ ลดไข้ แก้ปวด ลดอาการอักเสบกดระบบประสาทส่วนกลาง เสริมฤทธิ์ของยาแก้ชักและยานอนหลับบาน์บิทูเรต ลดความดันโลหิต คลายกล้ามเนื้อเรียบ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อไวรัส ขับประจำเดือน ยับยั้งการสร้างอสุจิ ยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อน <คุมกำเนิด> เป็นพิษต่อตัวอ่อนทำให้แท้ง บำรุงน้ำนมในสตรีหลังคลอดบุตร ดื่มเป็นยาชงช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ฟอกโลหิต โดยนำมาดอก ชบามาแต่งสลัดผัก ใส่แกงเลียงหรือใช้เป็นสีผสมอาหาร ซึ่งจะให้สีแดงม่วงเติมน้ำมะนาวลงไปจะให้สีแดงสด </div><br /><div></div><br /><div>จะเห็นได้ว่าฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ค้นพบสามารถอธิบายถึงสรรพคุณที่ระบุไว้ในตำรายาแผนโบราณ ถ้าท่านผู้อ่านไม่มีอาการดังกล่าวมาแล้วข้างต้นก็สามารถใช้ใบชบสเพื่อลดอายุตนเองได้ โดยนำใบชบามาขยำกับน้ำได้น้ำเมือกที่เหนียวข้นนำไปหมักผม จะช่วยทำให้ผมดกดำไม่มีผมงอก </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-78786608698741327172008-10-01T20:59:00.000-07:002009-07-09T21:05:52.528-07:00ดอกกระดังงา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_9weeavu-82gu_CRX3ZJh4-Uzybene-So9_ZXfRLeQNPCT9UhLdkRer2T916zpaGnXXY2eqX6qutPSQVMPhIuL-5n9AqcZJ3DwCVI-xUr-txl8JAjPgNCSQPLZ2prVPooFR1k6MiR38M/s1600-h/kradungnga1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252401526372549522" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_9weeavu-82gu_CRX3ZJh4-Uzybene-So9_ZXfRLeQNPCT9UhLdkRer2T916zpaGnXXY2eqX6qutPSQVMPhIuL-5n9AqcZJ3DwCVI-xUr-txl8JAjPgNCSQPLZ2prVPooFR1k6MiR38M/s320/kradungnga1.jpg" border="0" /></a><br /><p><strong><span style="color:#cc0000;"></span></strong></p><br /><p><strong><span style="color:#cc0000;">ดอกกระดังงา</span></strong> กระดังงามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.fet TH อยู่ในวงศ์ Annonacwae มีชื่อเรียกตาม ท้องถิ่นดังนี้ กระดังงาใบใหญ่ กระดังงาใหญ่<ภาคกลาง> สะบันงาต้น<ภาคเหนือ> กระดังงาจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นตรงสูง เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทา กิ่งก้านมีขนาดเล็กแตกออกจากลำต้น ดอกใหญ่ออกรวมกัน 3-6 ดอก ดอกอ่อนจะมีสีเขียวมีกลิ่นหอม กลีบดอกยาวห้อยลงรูปกลีบแคบปลายเรียวยาว ขอบกลีบหยักเป็นคลื่นๆ ผลรูปยาวรีอยู่รวมกันมีสีเขียวเข้ม ผิวมัน เมื่อแก่จัดจะมีสีดำ </p><br /><p><strong><span style="color:#cc0000;">สรรพคุณ</span></strong> ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาคือ ดอกที่แก่จัด โดยเฉพาะในดอกจะพบน้ำมันหอมระเหยเป็นเอสเตอร์ของ formic acetic , valerianic ,benzeoic acid methyl , benzyl alcohol จากการที่ดอกแก่จัดมีน้ำมันหอมระเหยจึงใช้ผสมในยาหอมเพื่อแก้ลม อ่อนเพลีย บำรุงโลหิต บำรุงธาตุบำรุงหัวใจ และเมื่อดอกแก่จัดนำไปสกัดจะได้น้ำมันหอมระเหย ชื่อ "น้ำมันกระดังงา" นำไปใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอางซึ่งก็เหมือนสมัยโบราณที่นำดอกแก่ไปลมควันเทียนอบเพื่อใช้อบน้ำทำน้ำอบไทย ใช้น้ำไปคั้นกะทิหรือทำข้าวแช่ เมื่อรับประทานแล้วจะมีกลิ่นหอม ให้ความรู้สึกสดชื่น ใช้กลีบดอกลนไฟอ่อนๆลอยน้ำเชื่อมปรุงขนมหวานต่างๆ</p><br /><div></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5048190764817224973.post-66269914961098977192008-10-01T20:55:00.000-07:002009-07-09T21:05:58.309-07:00ดอกกระเจี๊ยบ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0z9fEyfYITn8nHd2bmaMy7-US0gXNPDnct5rkF7Rx9cMH8W2kdPuiYNttbjABzTMQu6aRrCuA3vi9YvQPiZAL1regQVIYnJ9arpoxuWrYO7IT-yDTqlJk1XaLp_6nySCPFAgkkcQdO8k/s1600-h/kajeab2.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252400639101378274" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0z9fEyfYITn8nHd2bmaMy7-US0gXNPDnct5rkF7Rx9cMH8W2kdPuiYNttbjABzTMQu6aRrCuA3vi9YvQPiZAL1regQVIYnJ9arpoxuWrYO7IT-yDTqlJk1XaLp_6nySCPFAgkkcQdO8k/s320/kajeab2.gif" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDqh1ZSpUYsiA2oTVwqBYNGq21EWnn36vyrpfTfa6TE43Obw-JwHiZMs8un9WQmBO-Wqcr2bn1z5fX-xNZP4TAnO5YGgvPEqakSlbr_G7czJ7weXEvMV8eLIDjeViHgcQQC_95rSmX3hw/s1600-h/kajeab1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5252400526801279186" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDqh1ZSpUYsiA2oTVwqBYNGq21EWnn36vyrpfTfa6TE43Obw-JwHiZMs8un9WQmBO-Wqcr2bn1z5fX-xNZP4TAnO5YGgvPEqakSlbr_G7czJ7weXEvMV8eLIDjeViHgcQQC_95rSmX3hw/s320/kajeab1.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="color:#cc0000;"><strong></strong></span></div><br /><br /><div><span style="color:#cc0000;"><strong>กระเจี๊ยบแดง</strong></span> "กระเจี๊ยบแดง" ถือเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังมีสรรพคุณเป็นยาอีกด้วย แทรกกลีบดอกอยู่ตามกิ่งยาว ใช้ประดับแจกันก็ได้ ขณะเดียวกันก็นำกลีบเลี้ยงมาเชื่อม ทำแยม หรือ ตากแห้งใช้ต้มเป็นน้ำกระเจี๊ยบ<br /><br /><br /><strong><span style="color:#cc0000;">สรรพคุณ</span></strong> ส่วนที่นำมาทำเป็นยา คือ กลีบเลี้ยงที่แห้ง ซึ่งมีสารสีแดงชื่อแอนโธไชยานิน และมีกรดอินทรีย์ซึ้งทำให้มีรสเปรี้ยว และยังมีแร่ธาตุและสารอื่นๆ ได้แก่ แคลเซียมในปริมาณที่สูง ส่วนกลีบเลี้ยงนอกจากจะใช้เป็นยาสมุนไพรแล้วยังนำไปทำเป็นผลไม้กวนหรือแยม และใช้แต่งรสเปรี้ยวในเยลลี่และเหล้าองุ่น มีรายงานทางวิทยาศาสตร์พบว่ากระเจ๊ยบแดงสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ดีจึงรักษาและป้องกันโรคนิ่วได้ โดยเฉพาะนิ่วที่เกิดจากการดื่มน้ำกระด้างที่มีหินปูน นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากกลีบเลี้ยงและใบประดับของกระเจี๊ยบแดงยังช่วยลอความดันโลหิตได้ และยังสามารถกระตุ้นให้มีการขับน้ำดีออกมา จึงช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่น้ำดีไม่ปกติ และจากการที่กระเจี๊ยบแดงมีวิตามินสูง จึงสามารถรักษาอาการเลือดออกตามไรฟันบำรุงกระดูกได้ ดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ บรรเทาอาการท้องเสียและป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือด </div></div>Unknownnoreply@blogger.com0